หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ที่ดินราคาแพงที่สุดในประเทศไทย



ที่ดิน พารากอน-สุขุมวิท แชมป์ แพงสุด ตารางวา ละ 1 ล้าน



          "ที่ดินหน้าพารากอน-สุขุมวิท" ครองแชมป์อีกปี ฐานราคาที่ดินแพงลิ่วสุดในกรุงเทพฯ ฟันตร.วาละ 1 ล้าน (มติชนออนไลน์)

          ประเมิน ราคาที่ดินที่แพงที่สุดคือเป็นเงิน 1,000,000 บาทต่อตารางวา หรือไร่ละ 400 ล้านบาท ไว้ 3 บริเวณคือ บริเวณห้างสยามพารากอน บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าชิดลม และบริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต (สถานทูตอังกฤษ) บริเวณทั้ง 3 นี้น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท

           นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บจก.เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส  เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ถึงราคาที่ดินที่แพงที่สุดว่า จากการประเมินตามราคาตลาด ณ กลางปี 2552 เป็นเงินตารางวาละ 1,000,000 บาท หากนำธนบัตรใบละ 1,000 บาท มาปูบนพื้นดินขนาด 1 ตารางวา ต้องปูธนบัตรถึง 3 ชั้นเลยทีเดียว มูลค่าตลาดที่ประเมินนี้เป็นการประเมินตามศักยภาพการใช้ที่ดินตามท้องตลาด ไม่ใช่การประเมินแบบของทางกรมธนารักษ์ ซึ่งส่วนมากจะต่ำกว่าราคาตลาด และเป็นราคาเพื่อการเสียภาษีและค่าธรรมเนียมโอนในการจดทะเบียนสิทธิ และ นิติกรรม 
           ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้ประเมินราคาที่ดินที่แพงที่สุดคือเป็นเงิน 1,000,000 บาทต่อตารางวา หรือไร่ละ 400 ล้านบาท ไว้ 3 บริเวณคือ บริเวณห้างสยามพารากอน บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าชิดลม และบริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต (สถานทูตอังกฤษ) บริเวณทั้ง 3 นี้น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท และบริเวณห้างสยามพารากอน น่าจะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่ยังไม่มีนัยสำคัญนัก ในที่นี้จึงประเมินไว้เป็นเงินเท่ากัน เพราะอีก 2 แปลงก็อยู่ในบริเวณศูนย์กลางการค้าปลีกหลักของกรุงเทพมหานคร

           ที่ผ่านมามีการซื้อขายกันในราคา 1,200,000 – 1,500,000 บาท ต่อตารางวาเช่นกัน เช่น ที่ดินเปล่า 3 ไร่ บริเวณลานจอดรถเซ็นทรัลชิดลม ที่ดินเปล่า 2 ไร่ ข้างโรงแรมเซ็นเตอร์พอยท์วิทยุ และที่ดินเปล่า 1 ไร่ ติดรถไฟฟ้าสุขุมวิท แต่กรณีดังกล่าวยังถือเป็นที่ดินแปลงเล็กและเป็นข้อยกเว้น การประเมินราคาตลาดในที่นี้จึงประเมินไว้สูงสุด 1,000,000 บาท ณ กลางปี 2552 สำหรับราคาที่ดินที่แพงรองลงมาก็คือ สีลม (บริเวณธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่) และบริเวณสถานีรถไฟฟ้า ถนนราชดำริ

           ซึ่งศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ประเมินไว้เป็นเงินตารางเมตรละ 850,000 บาท ทั้งนี้เพราะมีรถไฟฟ้าผ่าน อย่างไรก็ตามพื้นที่ทั้ง 2 บริเวณเหมาะที่จะพัฒนาเป็นอาคารธุรกิจสำนักงานชั้นหนึ่งมากกว่า แม้รายได้สุทธิและกำไรจากการพัฒนาเป็นอาคารธุรกิจสำนักงานชั้นหนึ่ง จะสูงมาก แต่ก็ยังต่ำกว่ารายได้และกำไรสุทธิจากการพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเช่น 3 พื้นที่แรก ดังนั้นมูลค่าที่ดินทั้ง 2 แปลงหลังที่ประเมินไว้ตามศักยภาพที่แตกต่างกันนี้ จึงมีราคาตารางวาละ 800,000 บาท 
           ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อปี 2537 ที่ทางศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้เริ่มจัดทำราคาที่ดินทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้น ได้ประเมินพื้นที่บริเวณสีลม ไว้แพงสุดคือ ตารางวาละ 500,000 บาท เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้า (ซึ่งเพิ่งมีเมื่อปี 2542) ต่อมาเมื่อการพัฒนาในเชิงพาณิชย์เข้มข้นขึ้น และที่สำคัญการใช้รถไฟฟ้าเป็นระบบการขนส่งคมนาคมที่สำคัญที่สุดในย่านใจกลาง เมือง ราคาที่ดินย่านสยามสแควร์ ซึ่งใช้ตัวอย่างที่ดินสยามพารากอน ซึ่งถือว่ามีราคาสูงสุด

           ส่วนอันดับที่ 6-9 ราคาเท่ากันคือ ตารางวาละ 800,000 บาท ได้แก่ ถนนเยาวราช ถนนวิทยุ ถนนสาทร ถนนนราธิวาสราช (บริเวณสถานีรถไฟฟ้า) ซึ่งถือว่ามีศักยภาพลดหลั่นลงมา โดยสามารถพัฒนาเป็นอาคารสำนักงาน ที่มีศักยภาพใกล้เคียงกับสีลม

           ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อ 30 ปีก่อน ราคาที่ดินที่แพงที่สุดอยู่ในย่านเยาวราช เพราะเป็นศูนย์ธุรกิจแบบไชนาทาวน์ ที่ตึกแถวคูหาหนึ่งมีราคาสูงถึง 40 ล้านบาท แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ราคาที่ดินที่แพงสุด จึงย้ายมาในบริเวณสีลมเมื่อ 20 ปีก่อน และปัจจุบันกลายเป็นแถวสยามพารากอนนั่นเอง

           ในทางตรงกันข้าม ราคาที่ดินที่ถูกที่สุดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ ที่ดินแถวเลียบคลอง 13 ลำลูกกา ซึ่งศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ประเมินไว้เป็นเงินตารางวาละ 2,000 บาท หรือไร่ละ 1 ล้านบาท ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นที่ดินขนาด 4 ไร่ แต่ถ้าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ขนาด 36 ไร่จะเป็นราคาไร่ละประมาณ 400,000 บาทเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าที่ดินที่ยังมีราคาถูก ส่วนมากจะอยู่เขตรอบนอกของปริมณฑล ซึ่งยังมีระบบถนน ระบบสาธารณูปโภคหรือระบบขนส่งมวลชนที่ยังไม่สะดวกเท่าที่ควร 
           สำหรับอันดับที่ดินที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงปี 2548 – 2552 ได้แก่ บริเวณสุขุมวิท (ตึกไทม์สแควร์) ปัจจุบันราคาตารางวาละ 750,000 บาท หรือ เพิ่มขึ้น 97% บริเวณสุขุมวิท (เอกมัย) ปัจจุบันตารางวาละ 500,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 89% บริเวณสยามพารากอน ปัจจุบันตารางวาละ 1,000,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 82% และบริเวณสุขุมวิท 21 ปัจจุบันราคา 500,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 79% เป็นต้น จะสังเกตได้ว่า ที่ดินใจกลางเมือง มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุด เพราะศักยภาพที่ดีกว่านั่นเอง

           นอกจากนี้ที่ดินบางบริเวณในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังมีราคาลดลง ไม่ใช่ว่าราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นเสมอไปเท่านั้น โดยในช่วงระยะเวลาเดียวกัน คือ พ.ศ.2548-2552 บริเวณที่ราคาที่ดินลด ก็ได้แก่ บริเวณหน้าศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ปัจจุบันราคา 5,000 บาทต่อตารางวา ลดลงไป 21% บริเวณประชาสำราญ บริเวณประชาร่วมใจ บริเวณราชอุทิศ ลดลงไปประมาณ 11-13% ทั้งนี้เพราะเสียงเครื่องบิน และข้อกำหนดการห้ามก่อสร้าง เป็นต้น

           โดยสรุปแล้วราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส สำรวจไว้ในช่วงปี 2551-2552 นั้นเพิ่มขึ้น 3.0% แม้ว่าจะมีความผันผวนทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำ แต่ราคาที่ดินก็ยังไม่ได้ลดลง อย่างไรก็ตามหากนับแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ราคาเฉลี่ยของที่ดินเพิ่มขึ้น ณ อัตราที่ลดลงมาโดยตลอด การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินในช่วงปี 2548-2552 มีอัตราเพิ่มเป็น 5.6%, 4.9%, 3.5% และ 3.0% ตามลำดับ 
           ราคาที่ดินตารางวาละ 1,000,000 บาทที่สูงที่สุดในกรุงเทพมหานครยังถือว่าต่ำกว่าในนครโฮชิมินห์ ของเวียดนามถึงราว 50% ทั้งนี้เพราะเวียดนามมีความหนาแน่นของประชากรมากกว่า และที่ดินแปลงเล็ก ๆ ในเมืองมีราคาแพงลิบลิ่ว ทั้งนี้เป็นผลจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังการเปิดประเทศในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา

           สำหรับราคาที่ดินในปี 2552-2553 คาดว่า ราคายังจะเติบโตต่อเนื่อง เพียงแต่อาจจะมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าในช่วงปี 2551-2552 คาดว่าในช่วงปี 2552-2553 ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ทั้งนี้หากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ลดต่ำลงอีก ก็อาจส่งผลต่อการลดลงของอัตราเพิ่มของราคาที่ดินก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามที่ดินยังถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจมากในขณะนี้ 

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเลือกที่ดินตามหลักฮวงจุ้ย



การเลือกที่ดินตามหลักฮวงจุ้ย
                                     โดย อ.เกริกวิชญ์ กฤษฎาพงษ์


                  ภาพจาก www.skvproperty.com

      ฮวงจุ้ยที่ดีนั้นแท้จริงแล้วเริ่มต้นตั้งแต่การเลือกทำเลตามที่ต่างๆให้ดีก่อน เรียกได้ว่าถ้าได้ทำเลดีนั้นก็ทำให้มีชัยกว่าครึ่งจริงๆ โดยเฉพาะหากเลือกที่ดินเหมาะสมกับดวงชะตาและมีการออกแบบสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยที่สอดคล้องกับหลักสถาปัตยกรรมวิศวกรรมนั้นก็จะเป็นสิ่งที่สร้างความเจริญรุ่งเรื่องอย่างสูงสุดได้ไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างนั้นจะเป็น บ้าน สำนักงาน โรงงาน อาคารทุกประเภทก็ตาม ซึ่งหากเราเลือกที่ดินที่มีชัยภูมิหรือฮวงจุ้ยที่ดีแล้วนั้นย่อมส่งผลที่ดีสำหรับการออกแบบสิ่งปลูกสร้างต่างๆมีฮวงจุ้ยดีตามมาด้วยเช่นกันเพราะทำเลที่ดีนั้นง่ายต่อการออกแบบให้ฮวงจุ้ยดีและสอดคล้องกับหลักสถาปัตยกรรมด้วย เรียกว่าได้ว่าที่ดินมันเป็นหลักของเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการจัดฮวงจุ้ยเลยที่เดียว เพราะหากเริ่มต้นจากสิ่งที่ถูกต้องแต่ต้นนั้นก็เหมือนเป็นการชี้นำขั้นตอนการออกแบบรวมถึงปลูกสร้างอาคารไปในทางที่ถูกต้องเลยที่เดียว ซึ่งรวมถึงการลดค่าใช้จ่ายต่างๆเพื่อปรับปรุงแก้ไขอาคารให้กลับมามีฮวงจุ้ยที่ดีอีกด้วย

      แต่หากเลือกที่ดินมีฮวงจุ้ยไม่ดีหรือพอใช้ได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือการออกแบบปรับอาคารต่างๆในที่ดินให้สอดคล้องตามหลักฮวงจุ้ยให้เสริมคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่การออกแบบนั้นก็จะมีข้อจำกัดตามสภาพของที่ดินที่ถูกเลือกไว้แล้วเช่นกัน ซึ่งบางที่ดินนั้นก็สามารถแก้ไขสิ่งไม่ดีต่างๆโดยการออกแบบอาคารให้เหมาะสมตามหลักฮวงจุ้ยได้ แต่ขณะที่บางสถานที่นั้นก็ยากที่จะออกแบบให้สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ยเพราะชัยภูมิของที่ดินบริเวณนั้นๆไม่เอื้ออำนวย เพราะเราต้องไม่ลืมว่าอาคารสิ่งปลูกสร้างในแต่ละที่ดินนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ ออกแบบเองได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่เรามี แต่ชัยภูมิของที่ดินนั้นเราไม่สามารถเปลี่ยนได้เลย

      ยกตัวอย่างเช่น หากที่ดินด้านหน้ามีถนนและด้านหลังมีแม่น้ำที่ไหลตลอดนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนให้ด้านหน้าที่ดินเป็นอย่างอื่นนอกจากถนน เช่นเดียวกับเปลี่ยนด้านหลังที่ดินที่มีแม่น้ำให้กลายเป็นอย่างอื่น บางอาคารมีทางสามแพร่งพุงเข้ามาชน บางอาคารมีตึกสูงใหญ่มาบังด้านหน้า ข้าง หรือหลังก็แล้วแต่ เราก็ไม่สามารถปรับย้ายทางสามแพร่ง ตึกสูงใหญ่เหล่านี้ได้เลย ดังนั้นเราจึงได้แต่ออกแบบอาคารในที่ดินเราเองให้สอดคล้องกับชัยภูมิรอบด้านนั้นภายกรอบจำกัดของที่ดินเราเองเท่านั้นเอง

      หลายคนไม่เข้าใจคิดว่าเลือกทำเลนั้นไม่สำคัญเท่ากับการออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย แต่แท้จริงแล้วทำเลและชัยภูมิต่างๆของทำเลนั้นแหละเป็นตัวกำหนดการออกแบบให้สอดคล้องตามหลักฮวงจุ้ยที่ดีนั้นเอง ซึ่งเราลองมาดูหลักการคร่าวสำหรับการเลือกที่ดินดังนี้

1) ที่ดินนั้นจะต้องมีจุดรับกระแสพลังงานที่ดี เช่น กระแสลม ซึ่งคำว่าฮวงนั้นก็แปลว่าลม ส่วนคำว่าจุ้ยแปลว่าน้ำ โดยลมนั้นเป็นตัวพาพลังงานและน้ำนั้นเป็นตัวสะสมพลังงาน ซึ่งเราควรเลือกที่ดินที่ได้รับพลังมากก่อนโดยดูว่าหากสร้างสิ่งปลูกสร้างมาแล้วบริเวณด้านหน้าหรือทิศประตูทางเข้าหลักของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินนั้นๆมีความโล่งมากน้อยแค่ไหน หากโล่งมากก็แปลว่ากระแสลมที่พัดนำพาพลังงานนั้นสามารถลากพลังงานเข้ามาสะสมในบริเวณทำเลนั้นได้ง่ายก็จะยิ่งเป็นผลดี เช่น บริเวณด้านหน้าที่ดินเป็นถนนมีที่ขนาดใหญ่ มีสายน้ำที่เคลื่อนไหว หรือบริเวณด้านหน้าที่ดินนั้นไม่มีอาคารสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆมาบดบังกระแสลม หรือทำเลที่ดินนั้นอยู่ใกล้จุดตัดของถนนเช่นสามแยก สี่แยกซึ่งมีรถผ่านไปมาจำนวนมากโดยรถยนต์นั้นเมื่อเคลื่อนไหวก็ลากกระแสลมที่นำพาพลังงานมาได้ด้วยเช่นกัน หรือที่ดินที่หันหน้าเจอช่องลม ช่องอากาศขนาดใหญ่ เป็นต้น โดยการเลือกที่ดินที่มีจุดจ่ายกระแสพลังงานเข้าในที่ได้นั้นจัดว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเลือกที่ดิน

2) เลือกที่ดินนั้นหันหน้าเข้าหาทิศทางกระแสลมเพื่อรับพลัง โดยประเทศไทยนั้นคือลมจะมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดในช่วงฤดูร้อนและฝนมีระยะเวลา 6-8 เดือนต่อปีหรือยาวนานที่สุดของปีก็ว่าได้ ส่วนลมที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงฤดูหนาวที่มีระยะเวลา 3-4 เดือนต่อปีหรือมีระยะเวลาสั้นกว่า ดังนั้นคนจีนส่วนใหญ่ก็จะนิยมเลือกที่ดินที่สามารถสร้างอาคารให้หันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับลมเข้าทางหน้าบ้านเนื่องจากทิศใต้นั้นได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทิศที่ลมพัดยาวนานสุดของปี ส่วนที่ดินที่สร้างอาคารให้หันหน้าทางทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงใต้นั้นก็ได้รับพลังงานจากกระแสลมที่มาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยซึ่งก็จัดว่าเป็นทิศที่ดี เพียงแต่ทิศนี้จะรับแดดมากในช่วงเวลาบ่ายจึงทำให้คนไม่นิยมที่ดินในสร้างอาคารหันหน้าไปทิศเหล่านี้ทั้งๆที่เป็นทิศที่ดีเช่นเดียวกัน

3) ความสูงของที่ดินตามหลักฮวงจุ้ยแล้วที่ดินนั้นไม่ควรสูงจากที่ดินบริเวณข้างเคียงเนื่องจากกระแสพลังงานถูกนำพาได้โดยกระแสลมกับน้ำเป็นหลัก ซึ่งแท้จริงแล้วลมกับน้ำคือของที่ไหลได้ในทางวิศวกรรมโดยจะไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำกว่า ดังนั้นหากทิ่ดินมีความสูงมากกว่าบริเวณที่ดินอื่นโดยรอบ ก็จะทำให้ที่ดินนั้นๆไม่สามารถสะสมพลังงานได้เนื่องจากพลังงานนั้นก็จะไหลไปสู่ที่ต่ำกว่านั้นก็คือที่ดินอื่นๆโดยรอบนั้นเอง ยกตัวอย่างกรุงเทพฯนั้นเป็นเมืองที่เจริญสุดในประเทศไทยแต่กรุงเทพฯนั้นเป็นบริเวณที่ราบต่ำทำให้พลังงานจากทิศทางอื่นๆไหลมาสะสมตัวอยู่กรุงเทพฯ

4) รูปทรงของที่ดินนั้นก็ต้องไม่มีความลึกไม่มากเกินไป เนื่องจากที่ดินมีความลึกจากถนนมากเกินไปนั้นก็มีโอกาสที่จะได้รับพลังงานเข้าไปส่วนที่ลึกของที่ดินได้ยาก หรือเรียกว่าไม่สามารถสะสมพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากถนนนั้นจัดเป็นจุดจ่ายกระแสพลังงานหลักเพราะการเคลื่อนไหวของรถนั้นเป็นการลากกระแสพลังงานผ่านด้านหน้าของที่ดินตลอด ดังนั้นหากอาคารที่ปลูกสร้างลึกหรือห่างจากบริเวณถนนนั้นก็มีโอกาสได้รับพลังงานจากกระแสพลังงานที่มาจากการเคลื่อนไหวจากรถยนต์น้อย ซึ่งหากเลือกทำเลแบบนี้ก็จะต้องออกแบบอาคารให้รับกระแสพลังงานจากลมธรรมชาติหรือสิ่งอื่นๆแทน

5) ควรเลือกที่ดินที่มีด้านกว้าง โดยรูปทรงที่ดินหากมีด้านหน้าแคบแต่ด้านหลังที่ดินกว้างซึ่งหลายคนเรียกว่ารูปทรงถุงเงินและเข้าใจว่าเป็นรูปทรงของที่ดินฮวงจุ้ยที่ดีนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงเสมอไป สมัยก่อนนั้นมีการเรียกเก็บภาษีของที่ดินโดยดูจากความแคบกับกว้างของหน้าที่ดิน ยิ่งหน้าที่ดินยิ่งกว้างก็ยิ่งเสียภาษีมากกว่าจึงเป็นสาเหตุให้สมัยก่อนกล่าวว่าดินที่มีลักษณะหน้าแคบเป็นถุงเงินนี้เป็นฮวงจุ้ยที่ดีเพราะเสียภาษีน้อย แต่ความเป็นจริงแล้วในปัจจุบันนั้นหลายคนคงมองต่างกันเพราะที่ดินย่านการค้าที่มีหน้ากว้างนั้นก็สามารถออกแบบอาคารให้คนเข้าถึงอาคารได้ง่ายกว่าและเหมาะกับการค้าขายมากกว่า ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้วที่ดินที่มีหน้ากว้างติดถนนหรือทางเดินนั้นถือว่าเป็นที่ดีที่ดีเพราะสามารถรับกระแสพลังงานจากการเคลื่อนไหวรถยนต์หรือคนเดินผ่านอยู่ตลอดเวลา


ภาพแสดงที่ดินที่ด้านหน้ากว้างกว่าด้านหลังซึ่งสามารถสะสมกระแสพลังงานได้มากกว่าที่ดินหน้าแคบกว่าด้านหลังหรือที่เรียกว่าถุงเงิน

6) ควรเลือกที่ดินที่มีองศาทิศทางดี โดยควรเป็นองศาที่คำนวนออกมาทางฮวงจุ้ยแล้วเป็นทิศทางที่มีพลังดีเข้ามาสะสมเพราะเมื่อปลูกสร้างอาคารขนานกับแนวที่ดินนั้นก็จะทำให้อาคารนั้นได้รับพลังงานจากทิศทางที่ดี โดยแท้จริงแล้วไม่ว่าจะทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหล่านี้มีสามารถได้รับพลังงานดีและพลังงานร้ายได้หมดขึ้นอยู่กับองศาของทิศแต่ละทิศนั้น ซึ่งการจะตอบได้ว่าองศาทิศทางของที่ดินนั้นดีหรือไม่ดีนั้นควรปรึกษาซินแสน่าจะเป็นสิ่งดีที่สุด

7) ควรเลือกที่ดินมีสร้างสามารถสร้างอาคารหันหน้าหรือมีช่องเปิดรับพลังงานจากทิศที่เหมาะสมสอดคล้องกับดวงชะตาผู้อยู่อาศัย โดยหากชอบธาตุน้ำก็เลือกที่ดินที่สร้างอาคารหันหน้าหรือมีช่องรับพลังทางทิศเหนือได้ดี ส่วนดวงชอบธาตุไฟก็เลือกทิศใต้ ดวงชอบธาตุไม้ก็ทิศตะวันออก ดวงชอบธาตุทองก็ทิศตะวันตก เป็นต้น ซึ่งการจะรู้ว่าพื้นดวงนั้นถูกโฉลกกับธาตุใดบ้างนั้นคงต้องให้ซินแสเป็นผู้ถอดดวงชะตาจากดวงจีนหรือที่เรียกว่าระบบโป๊ยหยี่สี่เถียวนั้นเอง โดยดวงจีนนั้นแบ่งเป็น 5 ธาตุคือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ซึ่งต่างจากดวงไทยที่แบ่งเป็น 4 ธาตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดังนั้นจึงไม่สามารถอ้างอิงดวงไทยในการประยุคใช้กับการเลือกที่ดินในศาสตร์ฮวงจุ้ยที่เป็นระบบแบบจีน 

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทางสามแพร่ง


ทางสามแพร่ง



ทางสามแพร่ง

sukjaina มีเรื่องของทางสามแพร่งมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ทางสามแพร่งเป็นที่รวมของสัมภเวสี สัมภเวสีคือเหล่าวิญญาณที่เร่ร่อน และวิญญาณของสัมภเวสีเหล่านี้จะหิวโหย เพราะไม่มีใครทำบุญ กรวดน้ำ หรืออุทิศส่วนกุศลให้  คุณลองคิดดูว่าตอนเราหิวเรายังหงุดหงิดอารมณ์เสีย  และถ้าวิญญาณหิวหล่ะเขาจะทำอย่างไร เรามาดูวิธีการไหว้ทางสามแพร่งกันก่อนดีกว่า



ทางสามแยกหรือทางสามแพร่ง
  • sukjaina จะอธิบายให้เพื่อนๆ ฟังก่อนว่าทางสามแพร่งคืออะไร เพราะเพื่อนๆ บางคนอาจจะยังนึกไม่ออก ทางสามแพร่งเรียกง่ายๆ ก็คือทางสามแยกนั้นเอง และทางสามแพร่งนั้นส่วนใหญ่จะมีอุบัติเหตุบ่อยๆ เพราะเป็นทางที่ค่อนข้างอันตราย