หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาของเมืองและชนบท



 ปัญหาของเมืองและชนบท
             ในทางสังคมวิทยาแย่งชุมชนออกเป็นสองแบบ คือ ชุมชนชนบท (Rural) และ ชุมชนเมือง โดยราชบัณฑิตยสถาน (2542) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ชุมชนชนบท หมายถึง พื้นที่ส่วนที่อยู่นอกเขตเมือง หรือ เขตเทศบาล มีประชากรที่เลี้ยงชีพด้วยการเกษตรกรรมเป็นสำคัญ มีระเบียบสังคมที่สอดคล้อง กับลักษณะชุมชนแบบหมู่บ้าน ตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มก้อน หรือกระจัดกระจายตามลักษณะภูมิประเทศ หรือประเพณีนิยม ชุมชนเมือง เป็นชุมชนแบบหนึ่ง สำหรับในประเทศไทย กำหนดให้เขตเทศบาลที่มีจำนวนประชากร ตั้งแต่ 10,000 คน ขึ้นไปเป็นเขตเมือง
  
 
รูปที่ 1  ชุมชนบ้านแม่สามแลบ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
  
 
รูปที่ 2 ชุมชนเมืองแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
  
            ปัญหาของชนบท
            
            เนื่องจากชุมชนชนบทมีลักษณะทางด้านเศรษฐกิจสังคม ประชากร และสิ่งแวดล้อม ในหลายๆ ด้าน ได้แก่
                        -  ประชาชนในชุมชนชนบทส่วนใหญ่มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม  

                        -  ชนบทมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติและมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของประชาชน มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติโดยตรง
                        - ชนบทเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็ก แต่มีการใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ในการประกอบอาชีพ

                        - ชุมชนชนบทมีความหนาแน่นประชากรน้อยกว่าชุมชนเมือง

                        - ประชากรในชุมชนชนบทมีความแตกต่างทางสังคม และการแบ่งชนชั้นทางสังคมน้อย และประชากรมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในลักษณะของเชื้อชาติและความรู้สึกทางสังคม

                        - ชุมชนชนบทมักมีการเปลี่ยนแปลงด้านที่อยู่อาศัย อาชีพ และอื่นๆ น้อย ส่วนการย้ายถิ่น ฐานจะเป็นการย้ายถิ่นฐานจากเมืองสู่ชนบท

                        - ชนบทมีการติดต่อสื่อสารกันน้อยกว่าในเมือง เป็นความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ เป็นส่วนตัว เรียบง่ายและจริงใจ

            สำหรับปัญหาของชุมชนชนบทจากการศึกษาของ ฉัตรชัย พงศ์ประยูร (2542) ได้สรุปปัญหาที่สำคัญไว้ 5 ประการ ได้แก่
          1.ประชากร  อัตราการเพิ่มจำนวนประชากรในชนบทจะมีแนวโน้มลดลง ทำให้อัตราการขยายตัวของชุมชนลดลงไปด้วย ประกอบกับการอพยพย้ายถิ่นของประชากร ในชนบทเข้าสู่เมืองมีเพิ่มมากขึ้น  และครอบครัวเกษตรไม่จำเป็นต้องใช้สมาชิกในครอบครัว เป็นแรงงานในการทำเกษตรกรรมแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไป

          2. การถือครองที่ดิน ประชาชนยังต้องมีการถือครองที่ดินเป็นที่ทำกินและหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการถือครองที่ดินเปลี่ยนแปลงไป เช่น กรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นของนายทุนกลุ่มใหญ่ บริษัทขนาดใหญ่ หรือนักลงทุนต่างชาติ รูปแบบการตั้งถิ่นฐานจึงเปลี่ยนแปลงไป

          3. ลักษณะของพื้นที่เพาะปลูก รูปแบบการเพาะปลูกที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจ ตลอดจนรูปแบบการลงทุน การหาตลาด และการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม ความสัมพันธ์ของรูปแบบการเพาะปลูกจึงมีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานโดยตรง
          4. ระบบการคมนาคมขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ถนนหนทาง ศูนย์สุขภาพและบริการต่างๆ ระบบไฟฟ้า ระบบประปา และการติดต่อสื่อสาร การขาดการเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้าน และชุมชนชนบทด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุแห่งความแตกต่างทางพื้นที่ ทำให้การบริการพื้นฐานต่างๆ มีลักษณะกระจัดกระจายขาดการเชื่อมโยง และการรวมกลุ่ม ทำให้เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ

          5. นโยบายของรัฐบาล  จัดเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่ง เนื่องจากตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 เป็นต้นมา พื้นที่ชนบทได้รับความสำคัญ ต่อการตั้งถิ่นฐานในอัตราที่ช้ากว่าพื้นที่ชุมชนเมือง  จึงมีส่วนในการเป็นสาเหตุของการอพยพ โยกย้ายถิ่นฐานของประชาชนในชนบท เข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น

            อย่างไรก็ตามตามหลักการวางและจัดทำผังในพื้นที่ชนบท สุรีย์ ณ นคร (2546) ได้กล่าวถึงข้อควรพิจารณาสำหรับการวางผังในพื้นที่ชนบทว่า ควรมีการให้ความสำคัญในสองประการ ได้แก่ การวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่ โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์พื้นที่ในชนบททางด้านเกษตรกรรม เพื่อส่งเสริมให้การผลิตในภาคเกษตรมีมากขึ้น ประกอบกับการวิเคราะห์ด้านประชากร เศรษฐกิจ และสังคม ในการสนับสนุนด้านความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จำเป็น ตลอดจนการส่งเสริมให้มีการทำหน้าที่ของการเป็นศูนย์กลางชุมชน (RuralCenter) โดยอาศัยแนวคิดของการเชื่อมโยง ที่เรียกว่า ระบบชุมชน มีแนวคิดการเชื่อมโยงที่สำคัญคือ
                        -  การเชื่อมโยงด้านกายภาพของพื้นที่  ได้แก่ ระบบโครงข่ายการคมนาคม และระบ นิเวศวิทยา ที่รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ

                        -  การเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น รูปแบบการตลาด วัตถุดิบ ระบบการส่งผ่านสินค้ การเกษตร การลงทุนด้านการค้า และการขนส่งสินค้าของชุมชน การผลิตที่เชื่อมโยงกับ ภาคอุตสาหกรรม ตลาดของผู้บริโภค และรูปแบบของการซื้อขายสินค้า

                        -  การเชื่อมโยงด้านประชากร ประกอบด้วยการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร และประชากรที่ย้าย เข้ามาตั้งถิ่นฐานชั่วคราว รวมถึงการเคลื่อนไหวของประชากรจากการเดินทางไปทำงาน ซึ่งมีผลต่อการเดินทางและปริมาณการจราจร

                        -  การเชื่อมโยงด้านเทคโนโลยี ในด้านการติดต่อสื่อสารของชุมชน แหล่งพลังงาน การจัดสรรทรัพยากรน้ำและระบบชลประทาน

                        -  การเชื่อมโยงด้านความสัมพันธ์ในสังคม เช่น ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในชุมชนชนบทระบบเครือญาติ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี งานเทศกาลที่สำคัญ
  
            ปัญหาของชุมชนเมือง
             จากปรากฏการณ์ทางสังคมในปัจจุบัน พบว่า ความเจริญก้าวหน้าของชุมชนเมือง ทำให้เกิดการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของประชากร ในเขตพื้นที่ชนบทเข้ามาในเขตเมืองมีมากขึ้น เมื่อในเขตเมืองมีความหนาแน่นของประชากรมากขึ้น จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และปัญหาต่างๆ ดังนี้

                 1. ปัญหาความแออัด ของที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงานในเขตเมือง เป็นผลมาจากการใช้ที่ดิน และความต้องการของแรงงาน ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทางมาทำงานประจำวัน  ทำให้เกิดเป็นแหล่งชุมชนแออัด (Slum Area) นับเป็นปัญหาสำคัญในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นย่านหรือแหล่งที่มีอาคารหนาแน่น และอาคารส่วนมากชำรุดทรุดโทรม มีสภาพที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นที่อยู่อาศัย หรือมีลักษณะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย ความปลอดภัย ศีลธรรม หรือสวัสดิภาพของผู้อยู่อาศัยและประชาชน

                 2. ปัญหาการจราจร  เนื่องมาจากจำนวนประชากรหนาแน่น มีการเดินทางเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ภายในเมืองโดยรถยนต์มากขึ้น การจราจรคับคั่งทำให้ผู้เดินทาง ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนมาก ประกอบกับชุมชนเมืองส่วนใหญ่มักมีหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางด้านต่างๆ และรูปแบบการกระจายตัวแนวถนน มักมีมากที่สุดบริเวณศูนย์กลางเมือง จึงทำให้มีการจราจรหนาแน่นบริเวณศูนย์กลางเมือง เนื่องจากเป็นที่ตั้งกิจกรรมที่สำคัญ

                 3. ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ 
 หรือ มลพิษ (Pollution) เป็นภาวะภายในเมืองที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ   มีสาเหตุมาจากกิจกรรมภายในเมือง ปัจจุบันภายในเมืองใหญ่ๆ มักประสบปัญหาสภาวะแวดล้อมเป็นพิษ ทั้งอากาศเสีย  เสียงรบกวน และน้ำเสีย เป็นต้น สิ่งแวดล้อมเป็นพิษเหล่านี้ ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชากรเมืองอย่างมาก เป็นผลทำให้คุณภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของประชากรในเมืองลดลง

                 4. ปัญหาการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
  เนื่องจากมีประชากรอยู่กัน อย่างหนาแน่น เป็นจำนวนมากทำให้การให้บริการ กิจการสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ การจัดการมูลฝอยต่างๆ ต้องเพิ่มปริมาณการให้บริการมากขึ้น จนเกินระดับที่สามารถรองรับได้  นอกจากนั้นการให้บริการสาธารณประโยชน์อื่นๆ เช่น สวนสาธารณะ โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่ทำการของรัฐบาลอื่นๆ ไม่สามารถให้บริการได้เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้เกิดปัญหาความแออัดในด้านการให้บริการ

                 5. ปัญหาทางด้านสังคม
  การที่ประชากรเข้ามาอาศัยกันอย่างแออัดภายในเมือง ทำให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมกลุ่มต่างๆ มากมาย เช่น ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อย ปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะ ปัญหาแหล่งชุมชนแออัด ปัญหาการว่างงาน และความยากจน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาการหย่าร้าง  ปัญหาเด็กเร่ร่อนจรจัด เป็นต้น ปัญหาทางสังคมเหล่านี้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยในเมือง ขาดความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ตลอดจนสวัสดิภาพของบุคคลต่างๆ ด้วย
                 6. ปัญหาการขยายตัวของชานเมือง  เกิดจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง มีการอพยพไปตั้งถิ่นฐานบริเวณชานเมือง เกิดการขยายตัวของการใช้ที่ดินอย่างรวดเร็ว มีการใช้ที่ดินประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยปรับเปลี่ยนจากพื้นที่เกษตรกรรมชานเมือง ไปเป็นที่อยู่อาศัย หมู่บ้านจัดสรร โรงงานอุตสาหกรรม ทำให้การควบคุมขนาด และขอบเขตของเมืองทำได้ยาก การจัดบริการทางด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการไม่สามารถทำได้อย่างเพียงพอ และทันต่อความต้องการ

http://coursewares.mju.ac.th:81/e-learning50/la471/course_chapt_06-2.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น